สำหรับใครที่ต้องทำงานหน้าคอม หรือใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่โต๊ะคอมเยอะๆ การจัดโต๊ะให้ดูมีสไตล์ มีความสวยงามในโทนสีที่ถูกใจ จึงเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มบรรยากาศในการทำงาน และอาจจะช่วยส่งผลไปถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้นได้อีกด้วย
หนึ่งใน Gadget หลักที่สำคัญมากๆ เลยก็คือ “คีย์บอร์ด” ยิ่งใครที่เป็นสายพิมพ์จริงจัง ต้องพิมพ์งานเยอะๆ หรือเป็นสายเกมเมอร์ การที่มีคีย์บอร์ดดีๆ ก็จะช่วยเพิ่มความสุขในการใช้งาน และทำงานได้มากเลยทีเดียว
ซึ่งในปัจจุบัน ประเภทคีย์บอร์ดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ “Mechanical Keyboard” หรือ “คีย์บอร์ดแบบกลไก” ที่ทำงานโดยใช้กลไกของปุ่มตัวอักษร (Keycaps) ผ่านสวิตช์ (Switch) ในการเชื่อมต่อกับแผงวงจร (PCB) โดยแต่ละแบรนด์ก็จะต่างกันที่ฟังก์ชั่นการใช้งาน การออกแบบ และราคา
เพื่อให้สามารถเลือกซื้อได้ง่ายขึ้น 425° จึงได้รวบรวม 6 แบรนด์ Mechanical Keyboard ที่โดดเด่นทั้งเรื่องของฟังก์ชั่นและดีไซน์ ให้เพื่อนๆ ได้ตัดสินใจกันว่ารุ่นแบบไหนที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด
Keychron
เริ่มกันที่ Keychron แบรนด์คีย์บอร์ดยอดนิยม ที่เรามักจะได้เห็นกันบ่อยๆ ตามเทรนด์จัดโต๊ะคอม ด้วยดีไซน์ที่มีความมินิมอล โทนสีดำเทา และปุ่ม Esc สีส้มที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ พร้อมฟังก์ชั่นที่ครบครัน รองรับการใช้งานได้หลากหลาย ผลิตจากวัสดุ Aircraft-grade Aluminum Frame ทำให้มีความทนทาน เหมาะสำหรับคนที่เน้นการใช้งานที่จริงจัง และอยากจัดพื้นที่ทำงานสไตล์เรียบๆ
อย่างรุ่น Keychron K10 ซึ่งเป็นแมคคานิคอลคีย์บอร์ด Layout แบบ Full-Size ที่มาพร้อมปุ่มกด 104 ปุ่ม มีครบทั้งปุ่มอักขระ ปุ่มตัวเลข ปุ่มลูกศร และปุ่มฟังก์ชั่น เรียกได้ว่าครบทุกการใช้งาน รองรับการใช้งานทั้ง Mac, Windows, Android และ iOS โดยสามารถเชื่อมต่อได้สูงสุด 3 อุปกรณ์ ผ่านระบบ Bluetooth 5.1 และใช้งานผ่าน Type-C Cable ได้
หรือถ้าใครที่ชอบความกะทัดรัด Keychron K2 จะตอบโจทย์ได้มากกว่า ด้วยขนาด Layout แบบ 75% ต่างจากรุ่น K10 ตรงที่เป็นการตัดทอนในส่วนตัวเลขออก และลดพื้นที่ระหว่างปุ่ม ทำให้มีขนาดเล็กลง ประหยัดพื้นที่บนโต๊ะได้มากขึ้น และยังพกพาได้สะดวก หากต้องไปทำงานนอกสถานที่ รุ่นนี้รองรับได้ทุกอุปกรณ์ จะเชื่อมต่อแบบไร้สาย หรือเสียบสาย Type-C ก็ได้
โดยแบรนด์ Keychron ถือว่าเป็น Mechanical Keyboard ที่ฟังก์ชั่นครบ ตอบโจทย์ทั้งสายพิมพ์งานและสายเกมเมอร์ มีการใช้สวิตซ์จากแบรนด์ Gateron ที่รองรับการ Hot-Swappable สามารถเปลี่ยนสวิตช์ได้เอง มีไฟ RGB ที่ปรับได้มากกว่า 18 รูปแบบ พร้อมแบตเตอรี่ความจุ 4000 mAh ที่ใช้งานได้ถึง 240 ชั่วโมงแบบไม่เปิดไฟ และ 3 ชั่วโมงหากเปิดไฟ RGB
สั่งซื้อสินค้า Keychron K10 หรือ Keychron K2 คลิกเลย!!
NuPhy Air75
สำหรับคีย์บอร์ด NuPhy Air75 รุ่นนี้จะเป็น Mechanical Keyboard แบบ Low Profile ที่มี Layout แบบ 75% มีปุ่มกดทั้งหมด 84 ปุ่ม โดยจะตัดส่วน Numpad หรือปุ่มตัวเลขออก แต่ยังมีปุ่มฟังก์ชั่น F1 ถึง F12 อยู่ สามารถเชื่อมต่อได้พร้อมกัน 4 อุปกรณ์ โดยรองรับการเชื่อมต่อทั้งแบบเสียบสาย, Wireless 2.4 ghz และ Blutooth 5.0
เรื่องการดีไซน์ NuPhy Air75 เป็นอีกรุ่นที่น่ารักมากๆ เพราะมีการใช้โทนสีที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ NuPhy ทั้งสีเขียว Turquoise สีส้ม และสีเหลือง และยังมีอีกหนึ่งจุดเด่นคือการดีไซน์ไฟ Sidelight ที่บริเวณมุมบนของทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวา สำหรับแสดงสถานะแบตเตอรี่ของคีย์บอร์ด ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากไฟแสดงสถานะแบตเตอรี่ของ MacBook รุ่นแรก
ด้านล่างมีการออกแบบขาตั้งแบบ AirFeet ให้สามารถตั้งทับบนคีย์บอร์ดของ Laptop หรือ MacBook ได้ เพื่อรองรับการใช้งานแทนแป้นพิมพ์ของ Laptop หรือ MacBook
ในส่วนของ Keycab จะเป็นวัสดุพลาสติก PBT แบบ Ultra-Thin บางเพียง 4.6 มิลลิเมตร ถือว่าบางที่สุดเมื่อเทียบกับคีย์บอร์ดแบบ Low-Profile รุ่นอื่นๆ มีการลงสีแบบ Dye-Sublimation ทำให้สีบน Keycab ติดทนนาน เมื่อใช้งานไปนานๆ ตัวอักษรจะไม่เกิดการหลุดลอก หรือจางลง
คีย์บอร์ด NuPhy Air75 จึงจัดว่าเป็นอีกหนึ่งไอเทมที่จะช่วยเพิ่มความสนุกในการตกแต่งโต๊ะคอมได้มากขึ้น ด้วยขนาดที่กำลังพอดี เมื่อวางบนโต๊ะจึงไม่รู้สึกอึดอัด และทำให้มีพื้นที่สำหรับวางอุปกรณ์เสริมอื่นๆ ได้มากขึ้น
สั่งซื้อสินค้า NuPhy Air75 คลิกเลย!!
Azio
แบรนด์ที่ยกระดับคีย์บอร์ดรูปแบบเดิมๆ ให้มีความหรูหรา ดูแพงมากขึ้น ด้วยการใช้วัสดุแท้ คุณภาพดีมาเป็นส่วนประกอบของคีย์บอร์ด ไม่ว่าจะเป็น หนังแท้ ไม้ และ Aluminum Alloy อย่างในรุ่น Azio Retro ที่ออกแบบให้มีความคลาสสิกสไตล์ Retro เป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นไม่ซ้ำใคร
ใครที่หลงใหลในความคลาสสิกของแผ่นเสียงไวนิล หรือกล้องฟิล์ม คีย์บอร์ดรุ่นนี้จะต้องเป็นอีกหนึ่ง Gadget ที่ต้องมีเก็บไว้ เพราะมีแรงบันดาลใจมาจากเครื่องพิมพ์ดีดในสมัยก่อน ผสานกับเทคโนโลยีในปัจจุบัน ให้ความรู้สึกที่ดูย้อนยุค แต่ฟังก์ชั่นก็จัดเต็ม
โดย Azio Retro จะมีให้เลือก 2 ขนาดก็คือ Azio Retro Classic ที่มาพร้อม Layout ขนาด Full-Size 104 ปุ่ม และ Azio Retro Compact Layout แบบ US Layout 81 ปุ่ม โดยลดปุ่ม Numpad ลง โดยทั้ง 2 ขนาดจะใช้สวิตช์จากแบรนด์ Kailh พร้อมไฟ LED ที่ปรับความสว่างได้ 3 ระดับ
สำหรับการดีไซน์ Keycab ของรุ่น Retro จะมีการออกแบบให้คล้ายกับปุ่มบนแป้นพิมพ์ดีด พร้อมกับวางไฟ LED ไว้ตรงกลางสวิตช์ ทำให้ Azio สามารถจัดตัวอักขระไว้ตรงกลางตัว cap ได้เหมือนเครื่องพิพม์ดีดในอดีต
ทั้งยังรองรับการใช้งานได้ทั้ง MacOS/iOS และ Windows สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ได้พร้อมกันถึง 3 อุปกรณ์ ใช้งานได้ทั้งแบบเสียบสาย USB Type-C และ Bluetooth 2.0 หรือใหม่กว่า มาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 5,000 mAh ที่ใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนานถึง 9 เดือนหากไม่เปิดไฟ และ 2 เดือนหากเปิดไฟ
สั่งซื้อสินค้า Azio Retro Classic หรือ Azio Retro Compect คลิกเลย!!
อีกหนึ่งรุ่นที่มาในดีไซน์มินิมอล Azio Cascade Mechanical Keyboard Layout แบบ 75% ที่ยังคงปุ่มฟังก์ชั่นที่จำเป็นไว้ทั้งหมด พร้อมรองรับการใช้งานทั้ง MacOS และ Windows โดยสามารถเชื่อมต่อได้สูงสุด 3 อุปกรณ์พร้อมกัน ผ่าน Bluetooth 5.0 และสาย USB-C
รุ่นนี้ใช้สวิตช์จากแบรนด์ Gateron ที่รองรับการ Hot-Swappable สามารถปรับแต่งสวิตช์ได้ตามต้องการ และยังมีไฟ RGB ดีไซน์ไฟแบบ North-Facing ช่วยเพิ่มมิติและลูกเล่นในขณะใช้งาน เหมาะกับสายมินิมอลที่ชอบแต่งโต๊ะคอมแบบเรียบๆ ไม่หวือหวา
สั่งซื้อสินค้า Azio Cascade คลิกเลย!!
MelGeek
แบรนด์ Mechanical Keyboard ดีไซน์สุด Geek ที่มาพร้อมความใส สามารถมองเห็นวัสดุด้านในได้ พร้อมกับตกแต่งลวดลายด้วยแถบคาดสีส้มที่เป็นเอกลักษณ์ เน้นโทนสีส้ม ขาว และดำ ไม่ว่าใครมาเห็นก็รู้ได้ทันทีเลยว่าเป็นแบรนด์ MelGeek
ในส่วนของ Keycab เป็นรูปทรง MDA ที่มีความสูงกำลังดี เวลาใช้งานจึงไม่ต้องยกนิ้วสูงมากจนเกินไป ส่วนวัสดุจะเป็นพลาสติก PBT ลงสีแบบ Dye-Sublimation ทำงานร่วมกับสวิตช์จาก Kailh รุ่น Box เป็นสวิตช์รูปทรงคล้ายกล่อง มีความแข็งแรง และมีเสียงกดเป็นเอกลักษณ์
โดยมีรุ่นยอดนิยม 2 รุ่นคือ MelGeek Mojo68 Layout แบบ 65% มี 68 ปุ่ม รองรับการเชื่อมต่อได้มากสุดถึง 4 อุปกรณ์ และอีกรุ่นคือ MelGeek Mojo84 Layout แบบ 75% มี 84 ปุ่ม รองรับการเชื่อมต่อได้ถึง 8 อุปกรณ์ ทั้ง MacOS และ Windows ผ่าน Bluetooth 5.2 Wireless 2.4G และสาย USB-C
ซึ่งคีย์บอร์ดจากแบรนด์ MelGeek จะมีการเพิ่มความสวยงามด้วยไฟ RGB ที่สามารถปรับได้ 7 Mode แบบ South-Facing ประกอบกับ Body ที่ใสรอบด้าน ทำให้แสงไฟกระจายออกมาได้มากกว่าคีย์บอร์ดที่มี Body สีทึบ จึงเหมาะกับสายเกมเมอร์ที่เน้นความสวยของไฟ RGB และผู้ที่อยากได้คีย์บอร์ดเท่ๆ ดีไซน์ล้ำไม่ซ้ำใคร
สั่งซื้อสินค้า MelGeek MOJO68 หรือ MelGeek MOJO84 คลิกเลย!!
Epomaker
ย้อนวันวานไปกับคีย์บอร์ดดีไซน์ย้อนยุคกับแบรนด์ Epomaker ที่ถูกออกแบบให้มีกลิ่นอายของคีย์บอร์ดในยุค 80’s โดยมาในโทนสีเทาอ่อน เสริมกิมมิคเล็กๆ ด้วยสีเหลืองที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ ที่สามารถเพิ่มความคลาสสิก และนำไปจัดเซ็ตเข้ากับอุปกรณ์อื่นๆ ได้อย่างลงตัว
Epomaker TH98 คีย์บอร์ด Layout แบบ 1800 มีปุ่ม 98 ปุ่ม ดีไซน์จะคล้ายกับ Layout Full-Size แต่มีขนาดที่กะทัดรัดกว่า สามารถใช้งานได้ครบทุกฟังก์ชั่น พร้อมแบตเตอรี่ขนาด 3,000 mAh ให้สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องตลอดวัน
รุ่นนี้เลือกใช้สวิตช์จาก Gateron ที่มั่นใจได้ในเรื่องของความทนทาน รองรับการ Hot-Swappable ปรับเปลี่ยนสวิตช์ได้ด้วยตัวเอง และสามารถเลือกใช้สวิตช์ได้ทั้งแบบ 5pin และ 3pin
แต่สำหรับใครที่อยากเพิ่มพื้นที่ให้โต๊ะทำงาน Epomaker TH80 ถือเป็นอีกรุ่นที่น่าสนใจมากๆ และน่าจะตอบโจทย์ได้มากกว่า ด้วย Layout แบบ 75% มีปุ่ม 80 ปุ่ม เสริมด้วยลูกบิด (Knob) สีสันโดดเด่น ใช้สำหรับเพิ่มหรือลดเสียง และยังสามารถตั้งค่าเป็นคำสั่งอื่นๆ ผ่าน Software ของ Keyboard ได้ โดยรุ่นนี้มีแบตเตอรี่ขนาด 2,200 mAh ซึ่งเพียงพอต่อการใช้งานใน 1 วัน
สวิตช์ของรุ่นนี้จะเป็น Gateron G Pro Switch ที่ให้สัมผัสการกดได้แม่นยำกว่ารุ่นธรรมดา รองรับการ Hot-Swappable หรือการถอด-เปลี่ยนสวิตช์ด้วยตนเอง
สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ได้พร้อมกับ 3 อุปกรณ์ ทั้งแบบเสียบสาย USB-C / Bluetooth 5.0 และ Wireless 2.4G เรียกได้ว่าได้ทั้งฟังก์ชั่นและดีไซน์ในรุ่นเดียว
สั่งซื้อสินค้า Epomaker TH98 หรือ Epomaker TH80 คลิกเลย!!
ส่วนถ้าใครบอกว่าขนาดของ Epomaker TH80 ยังมีขนาดใหญ่ไป Epomaker SK61 เป็นอีกตัวเลือกดีๆ สำหรับคนที่อยากได้ความกะทัดรัดมากๆ ด้วย Layout แบบ 60% มีปุ่ม 61 ปุ่ม ซึ่งมีสีสันให้เลือกถึง 3 สี ไม่ว่าจะเป็นสีขาว สีดำ และสี Magaron ที่มาในโทนสีพาสเทล ตกแต่งด้วยลวดลายขนมมาการอง ทำให้การแต่งโต๊ะคอมมีความสนุกและมีสีสันมากขึ้น
สำหรับรุ่นนี้จะใช้สวิตช์แบบ Optical Switch จาก Gateron ที่ทำงานด้วยเซนเซอร์ ผ่านแสงอินฟราเรด ทำให้ตอบสนองได้รวดเร็วกว่า Mechanical Switch และสามารถใช้งานได้ยาวนานกว่า 100 ล้านครั้ง พร้อมไฟ RGB แบบ 9 Mode ช่วยเพิ่มความสวยงามให้โต๊ะคอม และสร้างความเพลิดเพลินขณะใช้งานมากยิ่งขึ้น
สั่งซื้อสินค้า Epomaker SK61 คลิกเลย!!
Durgod
อีกหนึ่งแบรนด์คีย์บอร์ดสไตล์ Retro อย่าง Durgod ที่ต้องบอกเลยว่าคนที่ชอบดีไซน์วินเทจ หรือย้อนยุคไม่ควรพลาด
โดยเฉพาะ Durgod Fusion คีย์บอร์ด Layout แบบ 65% มี 68 ปุ่ม มาพร้อมสวิตช์จากแบรนด์ Cherry รุ่น MX ที่มั่นใจได้ในเรื่องของคุณภาพ เพราะมีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน ทำงานร่วมกับ Keycap วัสดุพลาสติก PBT ใช้การลงสีแบบ Double-Shot คือการฉีดพลาสติกแบบ 2 สี 2 ชั้น ทำให้สีสันติดทนนาน ใช้แผ่น PCB (แผงวงจรคีย์บอร์ด) แบบ Non-Hot Swappable หากต้องการถอดเปลี่ยนสวิตช์จะต้องทำการบัดกรีที่แผงวงจรด้วย
ในส่วนของการเชื่อมต่อสามารถทำได้พร้อมกันถึง 4 อุปกรณ์ ทั้ง Bluetooth 5.0 Wireless 2.4 Ghz และสามารถเสียบใช้งานได้ด้วยสาย USB-C พร้อมรองรับทั้ง MacOS/iOS Windows และ Android
นอกจากนี้คีย์บอร์ดรุ่นนี้ยังสามารถปรับแต่งการตั้งค่าปุ่ม หรือตั้งค่าคำสั่งคีย์ลัดต่างๆ ผ่านโปรแกรม Durgod Zeus Engine Software ได้ เพื่อ ให้ตรงตามการใช้งานของผู้ใช้มากที่สุด
สำหรับใครที่ชอบคีย์บอร์ดดีไซน์แบบย้อนยุค ขนาดกะทัดรัด รุ่นนี้ก็เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย และยังมีสีให้เลือกถึง 3 ดีไซน์ ได้แก่ Original เป็นโทนสีขาว ครีมและสีส้ม, Steam ซึ่งมาในคู่สีที่ตัดกันอย่างสีดำและสีแดง และ Navigation ที่ผสมผสานระหว่างสีขาวครีม สีน้ำเงิน และสีเหลือง ซึ่งเรียกได้ว่าแต่ละสีมีความสวยลงตัวสุดๆ
สั่งซื้อสินค้า Durgod Fusion คลิกเลย!!