สำหรับมือใหม่ หรือใครที่กำลังมองหา Mechanical Keyboard ตัวแรก คงสงสัยว่าจะเลือกแบรนด์ไหน หรือเลือกรุ่นไหนดี เพราะตลาดคีย์บอร์ดทุกวันนี้ มีตัวเลือกตั้งแต่หลักร้อย ไปจนถึงหลักพัน ที่ซึ่งแต่ละราคาก็จะแตกต่างกัน ทั้งเรื่องของวัสดุ ฟังก์ชั่นต่างๆ รวมถึงความพรีเมียมของวัสดุอีกด้วย
425° จึงขอแนะนำวิธีเลือก Mechanical Keyboard และแนะนำฟีเจอร์ของ 9 รุ่นคีย์บอร์ดยอดนิยม ว่าจะมีฟังก์ชั่น และดีไซน์ที่น่ารัก น่าใช้งานขนาดไหน หรือใครที่ยังไม่รู้ว่า Mechanical Keyboard คืออะไร สามารถเข้าไปอ่านที่บทความนี้ได้เลย
เลือก Mechanical Keyboard จากสวิตช์
สำหรับสิ่งที่ 425° อยากแนะนำให้กับมือใหม่ ที่อยากจะเริ่มเล่น Mechanical Keyboard ก็คือการดู “สวิตช์” ที่อยู่ภายใน ซึ่ง Mechanical Keyboard แต่ละรุ่นจะมีการเลือกใช้สวิตช์ที่แตกต่างกัน โดยหลักๆ จะมี 3 ประเภท ได้แก่ Red Switch, Blue Switch และ Brown Switch
ใครที่พึ่งเริ่มใช้แมคคานิคอลคีย์บอร์ด Brown Switch น่าจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะที่สุด เพราะ เป็นประเภทสวิตช์ที่มีแรงต้านในระดับหนึ่ง ให้สัมผัสการกดที่มั่นคง และมีเสียงกดที่ไม่ดังจนเกินไป หรือหากต้องการความเงียบในการพิมพ์
หรือกลัวเสียงจะดังรบกวนคนรอบข้าง แนะนำ Red Switch เพราะเป็นการกดแบบจังหวะเดียว จึงไม่มีเสียงคลิ้ก และยังเป็นสวิตช์ที่กดง่าย ตอบสนองไว เน้นความคล่องแคล่วในการใช้งาน
แต่หากอยากใช้คีย์บอร์ดที่กดได้สนุกมือ เสียงลั่นสะใจ แนะนำ Blue Switch ที่เป็นการกดแบบสองจังหวะ จึงทำให้เกิดเสียงคลิ้กขณะกด สวิตช์ประเภทนี้จะมีแรงต้านมากกว่าประเภทอื่นๆ สำหรับใครที่เป็นสายเกม หรือชอบพิมพ์งานมันส์ๆ ต้อง Blue Switch เท่านั้น
เลือก Mechanical Keyboard จากขนาด (layout)
ต่อมาเป็นการเลือกขนาด หรือ Layout ที่ต้องการ ซึ่งจะมีให้เลือกหลากหลายขนาด โดยจะแตกต่างกันที่การจัดวางปุ่ม และจำนวนปุ่มทั้งหมดบนแป้นพิมพ์ มีให้เลือกทั้ง Layout แบบ Full-Size 100% หรือคีย์บอร์ดแบบเต็ม Layout แบบ 80% หรือ TKL (Ten-Key-Less) Layout แบบ 75% และ Layout แบบ 60%
- Full-Size Keyboard หรือ Mechanical Keyboard Layout แบบ 100% มีทั้งหมด 104 ปุ่ม ครบทั้งปุ่มตัวอักษร ปุ่มตัวเลข ปุ่มลูกศร และปุ่มฟังก์ชั่นเสริม เป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมสูง เพราะตอบโจทย์ได้ทั้งการเล่นเกมและการทำงาน
- Ten-Key-Less Keyboard (TKL) หรือ Mechanical Keyboard Layout แบบ 80% โดยจะมีเพียง 87-88 ปุ่ม ซึ่งจะทำการลดทอนส่วน Numpad หรือปุ่มตัวเลขออก เพื่อประหยัดพื้นและให้มีพื้นที่การวางเมาส์เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะใครที่เล่นเกมแนว FPS ต้องใช้พื้นที่สำหรับการลากเมาส์กว้างกว่าปกติ
- Keyboard 75% เป็นขนาดที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะได้ความเล็กกะทัดรัด ยังสามารถใช้งานที่ครบถ้วน มีทั้งปุ่มลูกศร ปุ่มฟังก์ชั่น F1-F12 และปุ่มคำสั่งที่ใช้งานบ่อยอย่าง Delete, PgUp และ PgDn ด้วยขนาดที่กำลังพอดี พกพาสะดวก ทำให้เป็นคีย์บอร์ดที่คนทำงานและเกมเมอร์เลือกใช้
- Compact Keyboard หรือ Mechanical Keyboard Layout แบบ 60-65% มีปุ่มกด 61 Keys และมีขนาดที่ใกล้เคียงกับคีย์บอร์ดบน Laptop ตามมาด้วยน้ำหนักที่น้อยลง ช่วยให้พกพาสะดวก
เลือกจากความสูงของ Keycabs
ในส่วนของ Keycap หรือคีย์แคป คือส่วนที่สัมผัสกับนิ้วมือของเราบ่อยที่สุด การเลือกความสูงของ Keycab จะทำให้มีสัมผัสในการพิมพ์ที่แตกต่างกัน
- Keycab แบบ High-Profile คือ Keycab ที่มีความสูงเท่ากับ Keyboard ทั่วไป มีหลากหลายรูปทรงให้เลือกใช้ เช่น OEM Profile ที่เราจะพบได้มากที่สุดในปัจจุบัน หรือ Cherry Profile มีความลาดเอียงใกล้เคียงกับแบบ OEM แต่มีความสูงที่ต่ำกว่า และ SA Profile ที่มีลักษณะคล้ายถ้วย (Cup) มากกว่าเป็นโค้ง และมีความสูงของปุ่มมากที่สุด
- Keycab แบบ Low-Profile คือ สวิตช์ที่บางกว่าสวิตช์คีย์บอร์ดทั่วไป คล้ายกับแป้นพิมพ์ของ Laptop จุดเด่นคือมีระยะการกดสั้นที่ลง ให้ความรู้สึกในการพิมพ์ที่เบากว่าสวิตช์แบบธรรมดา และช่วยให้กวาดนิ้วได้ง่าย สามารถพิมพ์ได้เร็วขึ้น
เลือกฟังก์ชั่นเสริมที่ Mechanical Keyboard ควรมี
- ฟังก์ชั่น Anti-Ghosting ออกแบบมาเพื่อช่วยให้กดปุ่มบน Mechanical Keyboard ได้หลายปุ่มพร้อมกัน เพื่อป้องกันคีย์บอร์ดค้างหรือรวน โดยมากแล้วมักจะกดได้มากกว่า 6 ปุ่มเป็นต้นไป
- ฟังก์ชั่น N-Key Rollover เป็นระบบที่มาเสริม Anti-Ghosting สามารถกดปุ่มพร้อม ๆ กันได้ไม่จำกัดจำนวนปุ่ม ซึ่งจะทำให้สามารถกดปุ่มคีย์บอร์ดพร้อมกันได้มากกว่าระบบที่ Anti-Ghosting กำหนดค่าไว้ตั้งแต่แรก
- ฟังก์ชั่นมาโคร คือคีย์ลัดหรือชุดของการกดปุ่ม ที่ผู้ใช้งานสามารถตั้งค่าคำสั่งได้เอง เพื่อใช้สำหรับแทนที่คำสั่งที่ซับซ้อนหรือคำสั่งที่จะต้องกดปุ่มพร้อมกันหลายปุ่ม ช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้คำสั่งต่างๆ ด้วยการกดเพียงปุ่มเดียว
- ฟังก์ชั่นแบ็กไลต์ (Backlight) จะช่วยให้สามารถมองเห็นแป้นพิมพ์ได้ง่ายขึ้น และหากเป็นไฟแบบ RGB ก็จะสามารถปรับแต่งดีไซน์ลูกเล่นของไฟ RGB ได้หลากหลายรูปแบบ ช่วยเพิ่มความสนุกในการใช้คีย์บอร์ดได้ดีมากๆ
แนะนำ 9 รุ่นยอดนิยมสำหรับมือใหม่
Keychron K10 | “คีย์บอร์ดสำหรับสายพิมพ์ ที่ตอบโจทย์การใช้งานทุกประเภท”
แมคคานิคอลคีย์บอร์ด Layout แบบ Full-Size มี 104 ปุ่ม ครบทั้งปุ่มอักขระ ปุ่มตัวเลข ปุ่มลูกศร และปุ่มฟังก์ชั่น ใช้สวิตช์จาก Gateron ที่รองรับการ Hot-Swappable มีสวิตช์ให้เลือกทั้ง Red Switch, Blue Switch และ Brown Switch พร้อมคีย์แคปที่ออกแบบมาเพื่อการพิมพ์เป็นหลัก มีผิวสัมผัสที่นุ่มมือ และมีส่วนโค้งเว้าที่รับกับปลายนิ้วมือได้พอดีอีกด้วย
รองรับการใช้งานผ่านระบบ Bluetooth 5.1 ทั้ง MacOS, Windows, Android และ iOS มีไฟ RGB มากกว่า 18 รูปแบบ พร้อมแบตเตอรี่ความจุ 4000 mAh ที่ใช้งานได้ถึง 240 ชั่วโมงแบบไม่เปิดไฟ และ 3 ชั่วโมงหากเปิดไฟ RGB
Azio Retro Classic | “คีย์บอร์ดดีไซน์คลาสสิกเหนือกาลเวลา”
ใครที่ชื่นชอบความคลาสสิกของแป้นพิมพ์ดีด ต้องรุ่นนี้เลย แมคคานิคอลคีย์บอร์ด Layout แบบ Full-Size ที่มีการออกแบบคีย์แคปให้คล้ายกับปุ่มบนแป้นพิมพ์ดีด ใช้สวิตช์จาก Kailh ที่ทาง Azio ใช้ชื่อว่า Azio Typelit Mechanical เป็นการเลียนแบบสวิตช์ให้คล้ายเครื่องพิมพ์ดีดมากที่สุด ให้สัมผัสคล้ายกับ Blue Switch พร้อมเสริมความพรีเมียม ด้วยวัสดุจริงอย่างหนังแท้ ไม้ และ Aluminum Alloy เป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่ไม่ซ้ำใคร
รองรับการใช้งานทั้ง MacOS/iOS และ Windows เชื่อมต่ออุปกรณ์ได้พร้อมกันถึง 3 อุปกรณ์ ใช้งานได้ทั้งแบบเสียบสาย USB Type-C และ Bluetooth 2.0 หรือใหม่กว่า พร้อมแบตเตอรี่ความจุ 5,000 mAh ที่ใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนานถึง 9 เดือนหากไม่เปิดไฟ LED และ 2 เดือนหากเปิดไฟ LED
Epomaker TH98 | “คีย์บอร์ดสไตล์ Retro ยุค 80’s”
แมคคานิคอลคีย์บอร์ด Layout แบบ 1800 มีปุ่ม 98 ปุ่ม มาพร้อม Brown Switch จาก Gateron แบบ สองจังหวะ ให้สัมผัสที่แน่น เด้ง กดใช้งานได้สนุกยิ่งขึ้น และยังรองรับการ Hot-Swappable อีกด้วย รุ่นนี้ออกแบบให้มีกลิ่นอายของยุค 80’s สำหรับใครที่อยากได้ความเรียบสไตล์ Retro แต่อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีเสริมกิมมิคด้วยสีเหลืองที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์
มาพร้อมไฟ RGB 18 รูปแบบ และยังรองรับฟังชั่น Anti-Ghosting อีกด้วย สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ได้พร้อมกันสูงสุด 3 อุปกรณ์ ใช้งานได้ทั้งแบบ Bluetooth 5.0, Wireless 2.4GHz และแบบเสียบสาย USB Type-C รองรับทั้งระบบ MacOS และ Windows พร้อมแบตเตอรี่ความจุ 3,000 mAh ที่เพียงพอต่อการใช้งานในหนึ่งวัน
Durgod K310 | “คีย์บอร์ดโทนดำดุ เรียบง่ายสไตล์มินิมอล”
แมคคานิคอลคีย์บอร์ด Layout แบบ Full-Size รุ่นนี้ใช้ Brown Switch จาก Kailh แรงกดสองจังหวะ ที่มีการ Pre-Lube มาให้ในตัว จึงให้สัมผัสในการกดที่แน่น มีแรงต้านนิ้ว เสียงไม่เบาและดังจนเกินไป พร้อมดีไซน์ที่มาในโทนสีดำล้วน แบบ Matte ให้ลุคที่ดูเท่ และหรูหรา
มาพร้อมไฟ RGB แบบ Nebula ที่ไฟจะสว่างทั่วตัวคีย์แคป สามารถปรับโหมดได้ 11 รูปแบบผ่านซอฟต์แวร์ของ Durgod รองรับใช้งานผ่าน Port USB Type-C ใช้งานได้ทั้งระบบ MacOS / Windows ใครที่ชอบแต่งห้องหรือจัดโต๊ะโทนดำๆ เข้มๆ รุ่นนี้ถือว่าเหมาะมากๆ
NuPhy Air75 | “คีย์บอร์ด Low-Profile ที่บางที่สุดในโลก”
แมคคานิคอลคีย์บอร์ด แบบ Low Profile ที่มี Layout แบบ 75% มีปุ่มกด 84 ปุ่ม ใช้สวิตซ์จาก Gateron ที่รองรับการ Hot-Swappable มีให้เลือกทั้ง Red Switch, Blue Switch และ Brown Switch ทำงานร่วมกับ Keycab (TH/ENG) ทำจากพลาสติก PBT แบบ Ultra-Thin บางเพียง 4.6 มิลลิเมตร ถือว่าบางที่สุดเมื่อเทียบกับคีย์บอร์ดแบบ Low-Profile รุ่นอื่นๆ
ดีไซน์ของรุ่นนี้บอกเลยว่าโดดเด่นสะดุดตา ด้วยโทนสีที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ NuPhy ทั้งสีเขียว Turquoise สีส้ม และสีเหลือง อีกทั้งการดีไซน์ไฟ Sidelight ก็โดดเด่นไม่แพ้กัน โดยใช้สำหรับแสดงสถานะแบตเตอรี่ของคีย์บอร์ด ได้รับแรงบันดาลใจมาจากไฟแสดงสถานะแบตเตอรี่ของ MacBook รุ่นแรก
สามารถเชื่อมต่อได้พร้อมกัน 4 อุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็น MacOS, Windows, Android และ iOS โดยรองรับการเชื่อมต่อทั้งแบบเสียบสาย, Wireless 2.4 ghz และ Blutooth 5.0
MelGeek MOJO84 | “คีย์บอร์ดที่ถูกใจสาย Geek”
แมคคานิคอลคีย์บอร์ด Layout แบบ 75% มี 84 ปุ่ม รุ่นนี้ใช้ Brown Switch จาก Kailh รุ่น Box รองรับการ Hot-Swappable ที่สามารถถอด-เปลี่ยนสวิตช์ได้เอง มี Battary ขนาดความจุ 4000 mAh สามารถใช้งานต่อเนื่องแบบปิดไฟ RGB ได้สูงสุด 240 ชั่วโมง จากการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง
ในส่วนของฐานมีการออกแบบให้ใสรอบด้าน สามารถมองเห็นวัสดุโฟมและซิลิโคนด้านในได้ ตกแต่งด้วยลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ เน้นโทนสีส้ม ขาว และดำตามสไตล์ของ MelGeek มาพร้อมไฟ RGB แบบ South-Facing ที่ไฟจะกระจายทั่วทั้งตัวฐาน เพิ่มความสวยงามขณะใช้งาน และเป็นคีย์บอร์ดเฟรมพลาสติกที่ให้คุณภาพไม่ต่างจากเฟรม Aluminum ทั้งเรื่องของเสียงในการกดและการใช้งาน
ในส่วนของการเชื่อมต่อ สามารถเชื่อมต่อได้สูงสุดถึง 8 อุปกรณ์ ทั้ง MacOS และ Windows ผ่าน Bluetooth 5.2 Wireless 2.4G และสาย USB-C
Azio Cascade 75% | “เติมเต็มความ Minimal ให้กับโต๊ะทำงาน”
หากใครที่อยากได้คีย์บอร์ดที่ดีไซน์เรียบๆ มีความมินิมอล รุ่นนี้ถือว่าตอบโจทย์มากๆ ด้วยขนาด Layout แบบ 75% มีความกะทัดรัด พกพาสะดวก และยังช่วยเพิ่มพื้นที่ให้กับโต๊ะทำงานได้อีกด้วย เรื่องการใช้งานก็บอกเลยว่าครบครัน ยังคงมีปุ่มฟังก์ชั่นที่จำเป็นไว้ทั้งหมด
รุ่นนี้ใช้ Brown Switch จาก Gateron ที่รองรับการ Hot-Swappable และยังมีไฟ RGB แบบ North-Facing ที่ช่วยเพิ่มมิติและลูกเล่นในขณะใช้งาน รองรับทั้ง MacOS และ Windows โดยสามารถเชื่อมต่อได้สูงสุด 3 อุปกรณ์พร้อมกัน ผ่าน Bluetooth 5.0 และสาย USB-C
Durgod K620W | “คีย์บอร์ดดีไซน์เรียบ สะอาดตา”
แมคคานิคอลคีย์บอร์ด layout แบบ TKL 80% มี 87 ปุ่ม เป็นคีย์บอร์ดที่มาในโทนสีแบบเรียบๆ ไม่หวือหวา ให้ลุคที่สุขุม น่าใช้งานมากๆ รุ่นนี้ใช้สวิตช์แบบ Red Switch จากทางแบรนด์ Kailh ทำงานร่วมกับ Keycaps ทำจากวัสดุพลาสติก PBT ลงสีแบบ Double-Shot คุณภาพสูง น่าสัมผัส
รองรับการใช้งานทั้ง MacOS, iOS, Windows และ Android เชื่อมต่อพร้อมกันได้สูงสุด 3 อุปกรณ์ ทั้งแบบ Bluetooth 5.0 / Wireless 2.4 Ghz และยังสามารถใช้งานด้วยสาย USB-C ได้อีกด้วย แบตเตอรี่ขนาด 3600 mAh สามารถใช้งานต่อเนื่องได้สูงสุดถึง 360 วันในโหมด Bluetooth และ 200 วันในโหมด USB 2.4 Ghz
Durgod Fusion | “คีย์บอร์ดสไตล์วินเทจสุดเก๋”
แมคคานิคอลคีย์บอร์ด Layout แบบ 65% มี 68 ปุ่ม มาพร้อมสวิตช์แบบ Silent Red จาก Kailh ที่ให้สัมผัสการพิมพ์ที่นุ่มนวล ทำงานร่วมกับ Keycap วัสดุพลาสติก PBT ใช้การลงสีแบบ Double-Shot ทำให้สีติดทนทาน ไม่ลอกหรือซีดจาง รุ่นนี้เป็นอีกหนึ่งคีย์บอร์ดสไตล์วินเทจ ที่ได้แรงบันดาลใจจากคอมพิวเตอร์ในอดีตอย่าง Commodore 64 ปี 1982 และต้นแบบสีสันจากเครื่อง Nintendo 64
การเชื่อมต่อสามารถทำได้พร้อมกันถึง 4 อุปกรณ์ ทั้ง Bluetooth 5.0 Wireless 2.4 Ghz และสามารถเสียบใช้งานได้ด้วยสาย USB-C พร้อมรองรับทั้ง MacOS/iOS Windows และ Android