รวมฮิตหูฟังไร้สายทรง Open-Ear มีตั้งแต่งบ Budget ถึง Premium

รวมฮิตหูฟังไร้สายทรง Open-Ear มีตั้งแต่งบ Budget ถึง Premium
1 เมษายน 2024 4554 ผู้เข้าชม
รวมฮิตหูฟังไร้สายทรง Open-Ear มีตั้งแต่งบ Budget ถึง Premium

 

  • ณ สมัยนี้ต้องยอมรับเลยว่าเทคโนโลยีของหูฟังไร้สาย ได้รับการพัฒนาขึ้นเยอะมากๆ และมีความหลากหลายให้เลือกใช้งานจากเมื่อก่อน ที่หูฟังจะมีเพียงแค่ In-Ear, Earbuds, Bone-Conduction 
  • แต่ในปัจจุบันมีหูฟังไร้สายอีกประเภทคือ หูฟังไร้สายแบบ Open-Ear (OWS) หูฟังประเภทนี้จะให้ฟิลลิ่งการใช้งานที่โปร่ง-สบายเป็นหลัก รวมถึงดีไซน์ที่แตกต่างออกไปจากหูฟังรูปแบบเดิมๆที่เราคุ้นเคยกัน Open-Ear จะตอบโจทย์ความ Adaptive ที่เราสามารถใช้งานได้หลายกิจกรรม ไม่ว่าจะนั่งทำงาน,เดินทาง,ท่องเที่ยว,พักผ่อน,รวมถึงเน้นออกกำลังกายที่ต้องการความคล่องตัวก็สามารถใช้งานได้ดี เราสามารถใช้งานประจำวันได้โดยไม่ต้องถอดหูฟัง ก็ใช้ได้ปลอดภัย ทำให้หูฟังทรงนี้ได้รับความนิยมกันมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
  • ดังนั้นในบทความนี้ ทีมงาน 425Audio ก็ได้สรุป รวบรวมหูฟังทรง Open-Ear มาให้แล้วครับ ว่าปัจจุบันมีรุ่นไหนน่าสนใจ ซึ่งเรารวมมาให้ตั้งแต่รุ่นราคา Premium จนไปถึงระดับ Budget ให้ดูกันเลย เอาเป็นว่าแต่ละรุ่นจะตอบโจทย์การใช้งานด้านไหนเป็นพิเศษ ไปชมรายละเอียดกันเลยครับ

 

 

1. Bose Ultra Open Earbuds

 

  • นับว่าเป็นหูฟังทรง Open-Ear ที่ร้อนแรงที่สุดตอนนี้เลยก็ว่าได้ สำหรับคนที่เน้นคุณภาพเสียงเป็นหลัก เพราะรุ่นนี้นั้นมาพร้อมสไตล์โทนเสียงแบบแบรนด์ Bose เลย โดยที่เน้นรายละเอียดชิ้นดนตรีที่คมชัดครบทุกย่าน โดยเฉพาะย่านเสียงแหลมที่มีความละเอียดมาก แต่ให้ความนุ่มนวลของเสียงที่ดีในแบบต้นฉบับ และสำหรับใครที่คาดหวังว่าจะต้องฟังเสียงเบสที่แน่น ฟังคมเหมือนพวกหูฟังทรง In-Ear,Earbuds ทีมงาน 425Audio รับประกันเลยว่า Bose Ultra Open Earbuds ตัวนี้ตอบโจทย์ได้แน่นอนครับ
  • จุดเด่นต่อไปเป็นในเรื่องของความเอกลักษณ์ของดีไซน์&วัสดุ โดยรุ่นนี้เป็นสไตล์การใช้งานแบบหนีบติ่งหู ให้อารมณ์คล้ายการสวมใส่ต่างหูหรือเครื่องประดับ ช่วยเสริมลุคประจำวันให้เราได้สบายๆ แถมการสวมใส่นั้นเบา-สบายมาก ไม่ได้รู้สึกว่าเจ็บติ่งหูเลยครับ
  • สเปคของเจ้า Bose Ultra Open Earbuds นั้นก็ต้องบอกว่าเป็นสเปคที่ครบครัน สมราคาแน่นอน ตั้งแต่การรองรับโหมดเสียง Spatialize Sound ช่วยให้การฟังมีมิติเสียงหรือลูกเล่นเพิ่มขึ้นไปอีก โดยตัวหูฟังรองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth 5.3 รองรับแอพฯ Bose Music App สำหรับปรับตั้งค่าหูฟัง ปรับเสียง EQ ได้ สามารถเชื่อมต่อกับลำโพง หรืออุปกรณ์ Soundbar ของ Bose ได้ (SimpleSync) ตัวหูฟังกันเหงื่อประจำวันที่ระดับ IPX4 รองรับไมโครโฟนสำหรับสนทนา ซึ่งเท่าที่ทีมงานเอาไปใช้งานประจำวันแล้ว ต้องบอกว่าเป็น Open-Ear ที่ใช้งานได้รอบด้านครับ
  • สรุปโดยรวมแล้วสำหรับเจ้า Bose Ultra Open Earbuds ตัวนี้ เรียกว่าตอบโจทย์กับคนที่กำลังมองหาหูฟังดีไซน์ Open-Ear ที่คุณภาพเสียงดีที่สุดในตอนนี้ สามารถใช้ฟังได้เหมือนฟิลลิ่งของหูฟัง In-Ear,Earbuds ได้เสียงเบสที่มีแรงปะทะฟังสนุก เสียงดัง เสียงแน่น เบสฟังอิ่ม โทนเสียงดนตรีใส ฟังชัดเจนทุกย่านเสียง หากมองหาหูฟังใส่สบาย ดีไซน์ไม่เหมือนใคร เน้นฟังเพลง ชมคอนเทนท์ต่างๆเป็นหลัก Bose Ultra Open Earbuds ตอบโจทย์ได้สมราคาแน่นอนครับ

 

 


 

2. Cleer Arc II Sports

 

  • Cleer Arc II Sports เป็นหูฟัง Open-Ear ที่เน้นเพิ่มเติมสำหรับสาย Sports มาด้วย ด้วยลักษณะพิเศษหรือเทคโนโลยีจากแบรนด์ Cleer ที่ตัวกล่องชาร์จมาพร้อมเทคโนโลยีการฆ่าเชื้อ UV-C ที่หูฟัง ทำให้การใช้งานหูฟังที่เปียกเหงื่อ หรือเปื้อนขี้ไคลต่างๆนั้นยังมีความสะอาดและช่วยปกป้องการใช้งานหูฟังให้ใช้งานได้ยาวนานยิ่งขึ้น
  • สำหรับรุ่นนี้แนวเสียงโดยรวมของแบรนด์ Cleer จะเน้นความใสของชิ้นดนตรีที่ชัดเจนดีมาก เสียงแหลมมีโทนเสียงที่หนา ชิ้นดนตรีอย่างพวกเครื่องทองเหลืองชุดกลองสามารถฟังได้ชัดเจนดีมากๆ โดยเฉพาะคนที่ชื่นชอบฟังสไตล์เพลง Jazz, Pop-Jazz ที่เน้นเครื่องดนตรีเหล่านี้ อีกทั้งยังมาพร้อมย่านเสียงกลางที่ให้เสียงร้องชัด คำร้องพุ่ง-เคลียร์ ย่านเสียงเบสกระชับ มีมวลที่จับต้องแล้วรู้สึกแน่นกำลังดี โดยรวมถ้าใครชอบฟังโทนเสียงที่ใสหน่อย และย่านอื่นๆมีความสมดุลกัน ฟังโปร่ง ตัวนี้ตอบโจทย์แน่นอนครับ
  • ส่วนของเทคโนโลยีสเปคด้านต่างๆของ Cleer Arc II Sports ก็สมราคา สมฐานะ ใช้ออกกำลังกายได้ปลอดภัยกันนํ้าและเหงื่อระดับ IPX5 มีเทคโนโลยีฆ่าเชื้อ UV-C ที่กล่องชาร์จและหูฟัง รองรับเทคโนโลยี aptX & Snapdragon Sound เชื่อมต่อ Bluetooth 5.3 และต่อ 2 อุปกรณ์ได้ (Multipoint) รองรับแอพฯ Cleer+ ปรับ Custom EQ เสียงได้ มีเทคโนโลยีเซนเซอร์จับการเคลื่อนไหว 6-AXIS Motion Sensor  สามารถควบคุมเพลง และสายโทรศัพท์แบบสัมผัส หรือสั่งการแบบ Head Gestures ได้ ซึ่งเท่มากๆ รองรับไมโครโฟนสำหรับสายสนทนา โดยแบตเตอรี่หูฟัง 8 ชม. รวมเคสชาร์จ 35 ชม. ครับ
  • สำหรับเพื่อนๆที่ต้องการหูฟัง Open-Ear ที่พรีเมี่ยมขึ้นมาจากแบรนด์ระดับกลางๆหน่อย Cleer Arc II Sports ตัวนี้สามารถให้ความคุ้มค่า ครบเครื่องได้อย่างแน่นอนครับ

 

 

3. Cleer Arc II Music

 

  • และสำหรับเพื่อนๆที่ต้องการประหยัดงบขึ้นมาหน่อย และยังอยากได้แนวเสียงที่ครบเครื่อง ฟีเจอร์สเปคต่างๆที่ใช้งานได้เหมือนกับ Cleer Arc II Sports ตัวนี้ก็จะเป็นอีกตัวเลือกที่ตอบโจทย์ในราคาที่จับต้องง่ายกว่าครับ
  • เบื้องต้นในความแตกต่างของ Cleer Arc II Music รุ่นนี้จะไม่ได้มีเทคโนโลยีฆ่าเชื้อ UV-C ที่หูฟัง เหมือนเจ้า Cleer Arc II Sports เพียงแค่นั้น แต่โดยรวมแล้วสเปคเสียง สเปคการเชื่อมต่อใช้งานทุกๆด้าน สามารถใช้งานได้ครบเครื่องเหมือนกันทุกประการครับ
  • แนวเสียงของ Cleer Arc II Music รุ่นนี้ ก็เด่นไปที่ย่านเสียงแหลมและย่านเสียงกลางเช่นกัน โดยใครที่ชอบความคมชัดของเสียงดนตรีทุกประเภท ชอบเสียงย่านแหลมหนาๆ พุ่งๆหน่อย เสียงเบสเคลียร์ กระชับ แต่มีน้ำนวลในการฟัง ฟังไม่แห้ง Cleer Arc II Music ตอบโจทย์ได้เหมือนกันทุกประการครับ
  • ในส่วนสเปค & เทคโนโลยีก็ครบเครื่องสมราคาเหมือน Cleer Arc II Sports เป๊ะ กันเหงื่อระดับ IPX5 (ไม่มีเทคโนโลยีฆ่าเชื้อ UV-C ที่กล่องชาร์จและหูฟัง) รองรับเทคโนโลยี aptX & Snapdragon Sound เชื่อมต่อ Bluetooth 5.3 และต่อ 2 อุปกรณ์ได้ (Multipoint) รองรับแอพฯ Cleer+ ปรับ Custom EQ เสียงได้ มีเทคโนโลยีเซนเซอร์ควบคุมเพลง และสายโทรศัพท์แบบสัมผัส หรือสั่งการแบบ Head Gestures ได้  รองรับไมโครโฟนสำหรับสายสนทนา แบตเตอรี่หูฟัง 8 ชม. รวมเคสชาร์จ 35 ชม. ครับ
  • สรุปโดยรวมคือใครที่ต้องการหูฟัง Open-Ear ที่ยังมีความพรีเมี่ยมสูง ดีไซน์สวย วัสดุดี แต่ไม่ได้เน้นใส่ออกกำลังกายหนักมาก ต้องการลดงบประมาณให้จับต้องได้ง่ายขึ้น ต้องการคุณภาพเสียงโทนใสๆ ชิ้นดนตรีคมๆ ฟังดนตรีได้คมชัดทุกสไตล์เพลง Cleer Arc II Music ตัวนี้ตอบโจทย์แน่นอนครับ

 

 

4. Shokz OPENFIT

 

  • สำหรับ Shokz OPENFIT รุ่นนี้ถือว่าเป็นรุ่นที่บุกเบิกตลาดของหูฟังทรง Open-Ear เลยก็ว่าได้ จุดเด่นของเขาคือความกะทัดรัด เล็ก พกพาสะดวกทั้งกล่องชาร์จ โดยที่ตัวหูฟังก็ยังคงสวมใส่ได้เบา-สบาย เพราะขนาดของหูฟังโดยรวมแล้วจะมีความเล็กกว่ารุ่นอื่นๆ ดังนั้นใครที่ตามหาหูฟังทรงแบบนี้ขนาดเล็กๆหน่อย เจ้า Shokz OPENFIT จะตอบโจทย์ได้ดีกว่ารุ่นอื่นๆครับ
  • Shokz OPENFIT ยังมาควบคู่กับคุณภาพเสียงที่ยังเป็นสไตล์เสียงแบบแบรนด์ SHOKZ โดยโทนเสียงของเขาจะมีความแน่นและหนึบกว่าพวก หูฟังสไตล์ Bone-Conduction ของแบรนด์เขาเอง มีการให้เสียงเบสหรือย่านเสียงต่ำที่จับต้องได้แม่นยำหรือง่ายกว่า ทำให้การฟังรวมมีความสนุกและคมชัดกว่าครับ
  • ฟีเจอร์ต่างๆยังคงครบเครื่องหรือเรียกว่าสมราคา โดยมาพร้อมไมค์ 4 ตัว (ไมค์คู่ + AI ตัดเสียงรบกวน) ให้เสียงพูดที่หนา พุ่งชัด สามารถเชื่อมต่อได้กับแอพฯ SHOKZ เพื่อปรับตั้งค่าเสียง รวมถึงการใช้งานที่รองรับการเชื่อมต่อ 2 อุปกรณ์(Multipoint) รองรับคุณสมบัติกันเหงื่อ กันน้ำในชีวิตประจำวันที่ IP54 สวมออกกำลังกายได้ โดยใช้งานต่อเนื่องได้สูงสุดถึง 7 ชม. รวมเคสที่ 28 ชม. และรองรับ Fast Charge 5 นาที = 1 ชม.
  • ดังนั้นใครที่หลงใหลในแบรนด์ Shokz ต้องการหูฟังประเภท Open-Ear ที่ตอบโจทย์เรื่องความพรีเมี่ยมทั้งการใช้งานและรูปลักษณ์หูฟังที่ใช้วัสดุแบบพรีเมี่ยม Shokz OPENFIT ตัวนี้ตอบโจทย์แน่นอนครับ

 

 


 

5. JBL Soundgear Sense

 

  • สำหรับ JBL Soundgear Sense นี้ต้องบอกว่าเป็น หูฟังสไตล์ Open-Ear ที่คุณภาพเสียงรายละเอียดเสียงเกินตัวมาก แนวเสียงมีความหนาชัดเจนตามสไตล์แบรนด์ JBL ที่เป็นคาแรคเตอร์ของแบรนด์อยู่แล้ว ดังนั้นใครที่เป็นสาวกของแบรนด์ JBL อยู่แล้ว และอยากได้หูฟัง Open-Ear ที่ยังคมชัด JBL Soundgear Sense ตัวนี้ตอบโจทย์ในเรื่องเสียงได้แน่นอนครับ
  • ในเรื่องคุณภาพวัสดุของ JBL Soundgear Sense ตัวนี้ยังมีความพรีเมี่ยม วัสดุแน่นทุกจุด จุดเด่นคือเรื่องการปรับหรือการ Adjust ก้านหูฟัง ที่สามารถปรับได้กับทุกสรีระ ทำให้หูฟังตัวนี้สามารถปรับใช้งานได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าลักษณะของหูแต่ละคนจะไม่เหมือนกันครับ
  • เทคโนโลยีและฟีเจอร์ของ JBL Soundgear Sense นั้นต้องบอกว่า "พรีเมี่ยม" ตั้งแต่การเชื่อมต่อที่ทันสมัย Bluetooth 5.3 สามารถใช้ดูหนัง ดู Youtube ไม่รู้สึกดีเลย์ แถมรองรับ Multipoint ต่อได้พร้อมกัน 2 อุปกรณ์ และรองรับแอพฯ JBL เช่นกัน ใช้คุยโทรศัพท์หรือใช้ Meeting รู้เรื่องด้วยสเปคไมค์คู่ต่อข้าง โดยแบตฯของรุ่นนี้จะอยู่ที่การใช้งานต่อเนื่องประมาณ 6 ชม. รวมเคสชาร์จ 24 ชม. สามารถสวมใส่ออกกำลังกายได้ โดยเน้นการใช้งานในรูปแบบที่เหงื่อไม่ได้เยอะมากนัก เพราะหูฟังกันเหงื่อที่ระดับ IP54 ครับ
  • สรุปง่ายๆกับเจ้า JBL Soundgear Sense นี้ก็จะเหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบแนวเสียงที่คมชัดสไตล์แบรนด์ JBL ครับ จับต้องเสียงเบสง่ายๆ เสียงร้องหนาๆชัดๆ เสียงแหลมเป็นประกาย มีความพุ่ง มีความใสของชิ้นดนตรีที่ดี ถ้าหากคุณชอบสไตล์เสียงแบบนี้อยู่แล้ว และมองหาหูฟังที่ใส่โปร่งๆแบบ Open-Ear ตัวนี้ตอบโจทย์แน่นอนครับ

 

 


 

6. OneOdio OpenRock Pro

 

  • อีก 1 รุ่นหูฟัง Open-Ear ที่เรียกว่าเป็นตัวที่คุ้มค่าที่สุดในคลาสแล้วกับเจ้า OneOdio OpenRock Pro ในรุ่นนี้จุดเด่นของเขาคือเรื่อง ความคงทนของแบตเตอรี่ที่ยาวนานที่สุด ถึง 19 ชม. ต่อการชาร์จเพียงหนึ่งครั้ง รวมกับเคสชาร์จนั้นใช้ได้ถึง 46 ชม. นับว่าเป็นหูฟังที่แบตเตอรี่อึดมากๆ สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ทั้งวันเลยทีเดียวครับ
  • สำหรับจุดเด่นต่อมาคือเรื่องคุณภาพเสียง คุณภาพไมค์คุยโทรศัพท์และการใช้งานทุกด้านที่คุ้มค่าราคา หรือเรียกว่าดีที่สุดในย่านราคาไม่เกิน 4,000.- ในเรื่องเสียงของรุ่นนี้จะมีความชัดเจนโดยเทคโนโลยีรองรับ aptX และ TubeBass ที่ช่วยให้เสียงในย่านเสียงต่ำและเสียงย่านกลาง-ต่ำหนาเป็นพิเศษ เหมาะสำหรับการใช้ฟังเพลงร้องชัดๆ รวมถึงเพลงจังหวะสนุกๆก็ได้ดนตรีที่คมชัดในแบบที่กำลังดี เนื้อเสียงไม่พล่ามัวหรือแตก ดังนั้นใครที่งบประมาณจำกัดอยู่ประมาณนี้ OneOdio OpenRock Pro จะตอบโจทย์ได้ดีที่สุด
  • สำหรับใครที่ต้องการหูฟัง Open-Ear ไว้สำหรับประชุม คุยงานต่างๆที่ต้องการความเป็นธรรมชาติของเสียงพูดที่ดีหน่อย OneOdio OpenRock Pro ตัวนี้ก็ตอบโจทย์ได้คุ้มที่สุดในคลาสเช่นกัน เท่าที่ 425Audio ลองใช้งานจริง ตัวไมค์มีการลดเสียงรบกวนรอบข้างได้เป็นธรรมชาติดีมากๆ โดยที่เสียงพูดเราไม่เป็นหุ่นยนต์ครับ
  • ใครที่กำลังหาหูฟัง Open-Ear เสียงเป็นธรรมชาติ เสียงพูด เสียงดนตรี เสียงร้องหนา มีไมค์คุยโทรศัพท์ที่ดี ใช้ในสถานการณ์ต่างๆได้ดี ดีไซน์สะดุดตา มีเอกลักษณ์สูง ใช้งานได้รอบด้าน คุ้มค่ากับราคา OneOdio OpenRock Pro ตัวนี้ตอบโจทย์แน่นอน

 

 


 

7. Sony Float Run

 

  • ถ้าหากว่าคุณเป็นสายนักวิ่ง นักกีฬา หรือผู้ที่สวมใส่หูฟังออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ ต้องการความกระชับในการสวมใส่แน่นๆ แต่ยังได้ยินเสียงรอบข้างแบบโปร่งๆ Sony Float Run ตัวนี้เป็นทางเลือกของคุณแน่นอน
  • Sony Float Run ตัวนี้โดดเด่นในเรื่องของการสวมใส่มากๆครับ สำหรับผู้ที่มี Movement เคลื่อนที่เยอะๆ ไม่ว่าจะวิ่งออกกำลังกายไวๆ ใส่เต้น คลาส Dance ต่างๆ ตัวนี้จะล็อคหูไว้ได้กระชับดีมาก อีกทั้งยังมาพร้อมความโปร่งในการได้ยินที่ดี ทำให้หูฟังตัวนี้เหมาะกับการสวมออกกำลังกายที่ต้องเคลื่อนไหวเยอะๆได้ดีครับ
  • ในเรื่องคุณภาพเสียงต้องยอมรับว่า ไม่เสียชื่อแบรนด์ Sony อย่างแน่นอนครับ โดยรุ่นนี้จะมีความฟรุ๊งฟริ๊งของเสียง โดยเฉพาะเสียงย่านกลางและแหลมที่มีความพริ้วไหวได้ดี เสียงดนตรีต่างๆมีความเป็นประกายหรือเสียงใส ทำให้ใช้ฟังเพลงสไตล์สบายๆ Pop,Acoustic ต่างๆได้ไพเราะและเป็นธรรมชาติของเสียงดีตามสไตล์ Sony ครับ
  • สำหรับฟีเจอร์อื่นๆของเจ้า Sony Float Run รุ่นนี้ต้องยอมรับว่าไม่ได้มีอะไรที่หวือหวามากนัก แต่ก็ยังใช้งานประจำวันได้ครบครับ ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติกันเหงื่อที่ IPX4 มีไมค์คุยโทรศัพท์ในตัวที่ใช้คุยแก้ไขสถานการณ์ต่างๆไปได้รู้เรื่อง แบตเตอรี่ยาวนานสูงสุด 10 ชม. และรองรับเทคโนโลยี Fast Charge 10 นาที = 1 ชม. เรียกได้ว่าฟีเจอร์ครบเครื่องสมราคาเช่นกันครับ
  • ถ้าหากคุณเป็นสาวกในแบรนด์ Sony หรือเป็นชาวอารยธรรมอยู่แล้ว กำลังหาหูฟังที่เน้นสำหรับออกกำลังกายเป็นหลัก เน้นความกระชับการสวมใส่แน่นแต่โปร่ง เจ้า Sony Float Run ตัวนี้ตอบโจทย์ในเรื่องคุณภาพเสียงที่สมชื่อ สมราคาได้อย่างแน่นอน

 

 


 

8. OneOdio OpenRock S

 

  • OneOdio OpenRock S ตัวนี้เป็นหูฟัง Open-Ear อีกรุ่นที่มาจากค่าย OneOdio แต่ในรุ่นนี้จะถูกวางให้อยู่ใน Segment ราคาที่จับต้องได้ง่ายขึ้นกว่ารุ่น Pro หรือจะเรียกว่าเป็นตัวที่เหมาะสำหรับคนที่อยากจะเริ่มต้นเข้ามาใช้หูฟังแบบ Open-Ear ที่มีคุณภาพและฟีเจอร์การใช้งานต่างๆที่ความเป็นมาตรฐานครับ
  • ในเรื่องคุณภาพเสียงของ OneOdio OpenRock S ตัวนี้ ถือว่าให้เทคโนโลยีต่างๆมาแบบไม่แพ้รุ่น Pro ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพเสียงเบสแน่นสะใจ ด้วยเทคโนโลยี Tube Bass และโหมดฟังเพลง 2 Mode (Relax Mode, Rock Mode) โทนเสียงโดยรวมจะมีความคมชัด เสียงร้อง เสียงกลางต่ำและเสียงเบสที่ดีเช่นเดิม แทบไม่ต่างจาก OneOdio OpenRock Pro แต่จะมีลักษณะของวัสดุและดีไซน์ที่แตกต่างกัน ดังนั้นใครที่งบไม่ถึงรุ่น Pro รุ่นนี้ก็ยังเป็นทางเลือกที่ดีเช่นกันครับ
  • สำหรับสเปคโดยรวมของ OneOdio OpenRock S นี้ก็ถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่ใหม่ทันสมัย ตั้งแต่เชื่อมต่อ Bluetooth 5.3 รองรับไมค์ 4 ตัว คุยโทรศัพท์รู้เรื่อง พร้อมตัดเสียงรบกวนขณะคุยโทรศัพท์ด้วย AI และที่สำคัญ ตัวแบตเตอรี่ยังคงทนนานถึง 19 ชม. และชาร์จกับเคสได้สูงสุด 60 ชม. ตัวหูฟังกันเหงื่อได้ถึงระดับ IPX5 ใส่ออกกำลังกายเหงื่อเยอะๆได้สบาย ซึ่งโดยรวมแล้วกับราคาที่ไม่เกิน 3,000.- ถือว่าสเปคคุ้มค่ามากๆครับ
  • สำหรับเพื่อนๆที่กำลังสนใจหูฟังแบบ Open-Ear ใส่ง่ายๆ เสียงดี ไมค์ชัด แบตฯอึดๆ คุ้มค่า คุ้มราคา OneOdio OpenRock S ตอบโจทย์ครับ

 

 


 

9. Edifier Comfo Run

 

  • สำหรับเจ้า Edifier Comfo Run นี้ต้องยอมรับว่าเป็น Open-Ear อีกรุ่นของแบรนด์ Edifier ที่ให้ความโดดเด่นของการใช้ออกกำลังกายเป็นหลัก ด้วยลักษณะรูปร่างแบบคล้องหลังคอเป็นแบบหูฟังบลูทูธหรือหูฟัง Wireless ซึ่งเหมาะกับคนที่ต้องการใช้งานแบบง่ายๆเพียงชิ้นเดียว ไม่ต้องการหูฟังแบบแยกข้างอิสระ หยิบใช้ง่าย เก็บง่าย ใส่คล้องคอได้
  • จุดเด่นของ Edifier Comfo Run นี้ยังเป็นคุณภาพเสียงที่ให้โทนเสียงในแบบฉบับ Edifier โดยเน้นที่รายละเอียดชัดเจน ดนตรีครบเครื่อง แต่มาพร้อมโทนเสียงที่ยังเนียน ไม่แสบหรือสากหูครับ อีกทั้งยังมีโหมดเสียงให้เลือก 2 แบบคือ Classic,Bass Boost ดังนั้นใครชอบสไตล์เสียงแบบรายละเอียดชัดๆ เป็นธรรมชาติ ตัวนี้เป็นทางเลือกได้แน่นอน
  • ในส่วนที่ทำได้ดีเกินคาดยังมีในเรื่องของไมค์คุยโทรศัพท์ เจ้า Edifier Comfo Run ยังมาพร้อมไมค์ 4 ตัว + ENC ช่วยลดเสียงรอบตัว สามารถใช้คุยขณะออกกำลังกายฟิตเนส หรือวิ่งออกกำลังกาย Outdoor ตัวนี้ก็คุยได้คมชัดเกินคาดเลยครับ
  • สำหรับใครที่ชอบทรงหูฟังแบบคล้องหลังคอ หลังหูแบบนี้ ชอบสไตล์เสียงละมุน คมชัดสูง แต่เป็นธรรมชาติ Edifier Comfo Run สามารถตอบโจทย์สบายๆและราคาไม่แรงด้วยครับ

 

 


 

10. SoundPEATS GoFree

 

  • หูฟัง Open-Ear ราคาสบายกระเป๋า SoundPEATS GoFree รุ่นนี้ เป็นหูฟังที่อยู่ในช่วงราคาที่เหมาะกับคนที่เริ่มต้นอยากเข้าวงการหูฟังทรงนี้ โดยเจ้า SoundPEATS GoFree นี้ก็มีจุดเด่นเป็นเรื่องของฟีเจอร์ต่างๆที่ดีเกินตัว
  • ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อตั้งแต่ Bluetooth 5.3 และรองรับการเชื่อมต่อ 2 อุปกรณ์ด้วย คุณภาพเสียงก็ไม่ขี้เหร่ครับ มีเทคโนโลยีอย่าง LDAC ที่ช่วยให้รายละเอียดเสียงมาเต็มย่าน โทนเสียงโดยรวมมีความคม-ใส ฟังชัดตามสไตล์ SoundPEATS เช่นกัน ดังนั้นใครชอบการฟังใสๆโปร่งๆจะชอบตัวนี้ได้ไม่ยากครับ
  • จุดเด่นต่อมาของ SoundPEATS GoFree นี้คือการสวมใส่ที่เบาสบายมาก เนื่องจากหูฟังมีน้ำหนักเบา แต่สำหรับสายออกกำลังกายหนักๆ เคลื่อนที่รุนแรงมากๆ ตัวนี้อาจไม่ได้เก่งกับการรองรับอะไรแบบนั้นเท่าไรครับ แต่ถ้าเป็นสายชิล นั่งทำงานฟัง podcast หรือฟังเพลงชิลๆ ใช้ต่อเนื่องนานๆตัวนี้รองรับได้ดีเพราะแบตฯนานถึง 10 ชม. รวมเคสชาร์จ 45 ชม.ครับ
  • สำหรับโดยรวมของ SoundPEATS GoFree นั้นก็เป็น Open-Ear ราคาเบากระเป๋า ที่สามารถใช้งานได้ครบครันทั้งด้านเสียงและฟีเจอร์ครับ ฟังเพลง ดูหนัง ใช้ฟัง podcast ดู youtube ไม่ดีเลย์ ใช้ออกกำลังกายเบาๆ เคลื่อนไหวไม่รุนแรงมากได้สบายๆครับ

 

 


 

11. SoundPEATS RunFree

 

  • ยังคงอยู่กับแบรนด์ราคาสบายกระเป๋าอย่างเดิมครับ สำหรับ SoundPEATS RunFree รุ่นนี้เพิ่มเติมความโปรในเรื่อง Sport มากขึ้นด้วยรูปทรงที่เป็นทรงคล้องคอแบบ Open-Ear และวัสดุที่พรีเมี่ยมแบบ Food Grade ใช้งานได้แบบไม่ระคายเคือง ทำให้การใช้งานจริงให้ความคล่องตัวและกระชับมากกว่า แต่ยังคงโปร่งและสบายอยู่ครับ
  • สเปคและฟีเจอร์ของ SoundPEATS RunFree นี้ต้องยอมรับว่าแทบไม่ต่างจาก GoFree โดยรวมให้ความครบเครื่องเกินราคา เชื่อมต่อ Bluetooth 5.3 และรองรับ Multipoint ต่อ 2 อุปกรณ์เหมือนกัน ทำให้สะดวกในการใช้งานในสถานการณ์ที่เราต้องการ Standby กับอุปกรณ์ 2 เครื่องมากขึ้น และยังมาพร้อม Game Mode ที่ช่วยลดความหน่วงหรือดีเลย์ขณะดูหนัง เล่นเกมได้แทบจะไม่รู้สึกดีเลย์ครับ
  • คุณภาพเสียงรุ่นนี้ SoundPEATS RunFree ยังมาพร้อมแนวเสียงที่ฟังได้กลางๆ เน้นฟังทั่วไปหลากหลายแนว เสียงเบสมีให้รู้สึก เสียงร้องและเสียงย่านสูงมีความใสกำลังดี ใช้ฟังดนตรีได้กว้างครับ และยังมีสเปคไมค์คู่ที่ใช้คุยได้รู้เรื่องเช่นกัน โดย 425Audio ได้ลองใช้งานในฟิตเนสได้สบายๆ และถือว่าใช้คุยรู้เรื่องดีทีเดียวครับ สำหรับใครที่เป็นสายคุยสนทนาตอนฟิตเนสบ่อยๆ ตัวนี้ตอบโจทย์แน่ครับ
  • สำหรับใครที่ต้องการหูฟังออกกำลังกายคล้องคอแบบ Open-Ear ราคาย่อมเยา และได้สเปคที่ครบเครื่องใช้งานได้จริงทุกฟังก์ชั่น เน้นออกกำลังกายเป็นหลัก SoundPEATS RunFree ตัวนี้ตอบโจทย์แน่นอนครับ

 

 


 

12. SoundPEATS RunFree Lite

 

  • และตัวสุดท้ายใน List นี้นั้นก็คือ SoundPEATS RunFree Lite ครับ รุ่นนี้ยังเป็น Open-Ear สไตล์เน้นออกกำลังกายเช่นกัน เปรียบเสมือนรุ่นเริ่มต้นของแบรนด์ที่ราคาย่อมเยาที่สุด แต่ยังคงนำไปใช้ออกกำลังกายจริงๆได้ดีเกินราคา
  • ความแตกต่างจาก SoundPEATS RunFree และ RunFree Lite ก็คือตัวนี้จะใช้วัสดุที่ลดเกรดลงไปเล็กน้อยครับ แต่ความครบครันในฟีเจอร์ต่างๆยังคงใช้งานได้แทบไม่รู้สึกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพเสียง คุณภาพไมค์ การสวมใส่ อัตราหน่วงหรือดีเลย์ รวมถึงดีไซน์ที่ต่างกันเล็กน้อยครับ
  • สำหรับเพื่อนๆที่มองหาหูฟัง Open-Ear เน้นใส่ออกกำลังกายในหลักร้อยบาท SoundPEATS RunFree Lite ตัวนี้ตอบโจทย์ได้คุ้มที่สุดแน่นอนครับ

 

Related posts